Boys Before Flowers



꽃보다 남자 Boys Before Flowers



ชื่อหนัง (เกาหลี/จีน/ญี่ปุ่น) : 꽃보다 남자 / Kgotboda Namja / Boys Before Flowers
ชื่อหนังอื่นๆ : Meteor Garden / Hana Yori Dango / Boys Over Flowers
นักแสดง : Koo Hye Sun, Lee Min Ho, Kim Hyun Joong, Kim Bum, Kim Joon
กำกับโดย : Jun Ki Sang
จำนวนตอน : 25
ประเภท : Romance, comedy
ผลิตโดย : Group Eight
Written By : Comic - Kamio Yoko, Yoon Ji Ryun
ปี : 2009
ออกอากาศ : 5 ม.ค. 2009 - 31 มี.ค. 2009
ออกอากาศช่อง KBS2 ทุกวันจันทร์และวันอังคาร เวลา 21:55 น.
ออกอากาศในไทย [1] : 4 ก.ค. 2009 ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ เวลา 9:15 - 11:00 ทางช่อง 7 - เริ่ม ก.ย. 2009
Official Website : Boys Before Flowers
Links : Gallery


เนื้อเรื่องย่อ (Synopsis) :
Boys over Flowers เป็นละครที่สร้างดัดแปลงมาจาก Hana Yori Dangoการ์ตูนยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่น เรื่องราวของ กึม จันดี เด็กสาวธรรมดาซึ่งมีฐานะยากจนแต่เป็นคนที่ร่าเริงสดใส มีพ่อแม่ประกอบอาชีพซักแห้งเสื้อผ้า อยู่มาวันหนึ่งเธอได้ไปช่วยเหลือเด็กหนุ่มในโรงเรียนขินฮวาจนกกลายเป็นฮีโร่ และต่อมาเธอได้ร้บอุปการะจากคนนิรนามให้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมชินฮวา โรงเรียนสำหรับลูกของคนรวยระดับประเทศเรียนกัน ถึงแม้เธอไม่อยากย้ายไปแต่พ่อแม่ของเธอปรารถนาอยากให้ กึมจันดี ได้พบแต่สิ่งดีๆ เธอจึงตัดสินใจไปเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้นและเธอก็ชื่นชอบการว่ายน้ำจึงเป็น สิ่งเดียวที่เธอขอบมากที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้เพราะเธอสามารถว่ายน้ำได้และ ใฝ่ฝันอยากเป็นนักว่ายน้ำในอนาคตในโรงเรียนชินฮวา แห่งนี้ มี 4 หนุ่ม F4 ที่นักเรียนทุกคนชื่นชอบและนับถือ โดยในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย กู จุนพโย หัวหน้ากลุ่มลูกชายเจ้าของธุรกิจบริษัทชินฮวาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลี ผู้มักจะให้ใบแดงกับนักเรยนในโรงเรียนที่เขาไม่ชอบปรือทำตัวไม่ถูกใจเขา สมาชิกคนที่สองคือ จีฮู หนุ่มเจ้าเสน่ห์อดดีตหลานชายประธานาธิบดีเกาหลี อีกหนุ่มหนึ่งใน F4 คือ โซจียอง หนุ่มนักศิลปะผู้มีชื่อเสียงทาด้านศิลปะเซรามิค และหนุ่มคนสุดท้ายคือ ซงอูบินกึมจันดี ไม่มีเพื่อนสนิทในโรงเรยนเลยเพราะโรงเรียนแห่งนี้มีแต่คนรวยๅ แต่เธอรู้สึกดีเมื่อได้มีโอกาสรู้จักกับ จีฮู F4 หนึ่งใน อย่างไรก็ตามอยู่มาวันหนึ่งเธอได้ช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนหญิงห้องเดียวกัน ที่ทำไอศกรีมหกใส่ กูจุนพโย ในเวลาต่อมา กึมจันดี ได้รับใบแดงจากเขา เธอจึงถูกทุกคนในโรงเรียนกลั่นแกล้งตลอดเวลา แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากจีฮู ทางด้าน กูจุนพโย ผู้ให้ใบแดงก็คิดว่า กึมจันดี คงจะทนไม่ไหวที่เธอถูกกลั่นแกล้งหลายครั้งหลายหน จนกระทั่ง กึมจันดี ทนไม่ได้และมาพบกับ กูจุนพโย ในที่สุด เธอสั่งสอนเขาด้วยท่าเตะไม้ตายเตะใส่หน้า กูจุนพโย จนล้มกลิ้ง พร้อมกับบอกว่าเธอไม่กลัวเขากึมจันดี รู้สึกมีใจให้กับ จีฮู ชายหนุ่มมาดขรึมที่ใจดี แต่ในทางเดียวกัน กูจุนพโย ก็เริ่มชอบเธอแบบปากไม่ตรงกับใจและพยายามปรับตัวเข้าหา กึมจันดี เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรโปรดติตามกันได้ในละครสุดฮอตฮิตอีกเรื่องหนึ่งใน เอเชีย กับละครเรื่องนี้ Boys over Flowers

ขอบคุณ : http://www.koreaseries.com/boysbeforeflower.html

What's Up Fox? - รักครั้งนี้ จักจี้หัวใจ

여우야 뭐하니 What's Up Fox? - รักครั้งนี้ จักจี้หัวใจ




ชื่อหนัง (เกาหลี/จีน/ญี่ปุ่น) : 여우야 뭐하니 / What's Up, Fox?
ชื่อหนังอื่นๆ : Hey Fox, What You Want To Do?
นักแสดง : Ko Hyun Jung, Chun Jung Myung, Kwon Hae Hyo, Choi Woo Ji
กำกับโดย : Kwon Seok Jang
จำนวนตอน : 16
ประเภท : Romance, Comedy
ผลิตโดย : Kwon Seok Jang
Written By : Kim Do Woo
ปี : 2006
ออกอากาศ : 20 ก.ย. 2006 - 9 พ.ย. 2006
ออกอากาศทางช่อง MBC วันพุธและวันพฤหัสบดี เวลา 21.55 น.
ออกอากาศในไทย [1] : 30 ก.ย. 2009 ทุกวันพุธ - ศุกร์ เวลา 8:30 - 10:15 น. ทางช่อง 7 - เริ่ม 30 ก.ย.นี้
Official Website : What's Up Fox?
Links : Gallery Wallpaper English Subtitle


เรื่องย่อ
ถ้าคุณติดใจผลงานเรื่อง ฉันนี่แหละ คิม ซัมซุน ละครเรื่องนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นผลงานจากปลายปากกาของผู้เขียนคนเดียว กัน แต่ว่า มีหมายเหตุนิดหน่อย คือ ละครเรื่องนี่ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี เพราะเนื้อหาของละครจะมีการสอดแทรกเรื่องราวของเพศเข้ามาบ้างเล็กน้อย เด็กๆ ไม่ควรดูคนเดียว ควรมีผู้ใหญ่ดูด้วย
ตัวฉันเองก็นั่งคิดอยู่นานว่าควรจะ เขียนเล่าเรื่องในแนวไหนที่จะไม่ทำให้ละครเรื่องนี่กลายเป็นละคร Rate R ไป แต่กล่าวโดยรวมแล้ว ละครเรื่องนี่เป็นละครที่ต้องการบอกเล่าเรื่องและความหมายของคำว่า รักแท้ ถึงแม้อายุจะต่างกันก็ไม่เป็นอุปสรรคกับความรักถ้าคนทั้งสองเข้าใจซึ่งกัน และกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน รักแท้ย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เพียงแค่เราต้องค้นหาให้ได้เท่านั้นว่าใจของเราอยู่ที่ไหน
โก บยองฮี สาวโสดวัย 33 เฝ้ารอวันเป็นเจ้าสาวเหมือนกับหญิงสาวคนอื่นๆ อาชีพของเธอนั้นโดดเด่นไม่เหมือนใคร เธอเป็นนักเขียนให้กับนิตยสารสำหรับคุณผู้ชาย (เหมือน FHM บ้านเรา) บทความและนวนิยายที่เธอแต่งขึ้น เป็นที่ถูกใจของเหล่าหนุ่มๆ มาก แต่หนุ่มๆ เหล่านั้นกลับหารู้ไม่ว่า เธอไม่ตาสีตาสาอะไรเลย เรื่องทุกอย่างที่เธอเขียนเป็นเพียงเรื่องที่เธอจินตนาการขึ้นเท่านั้น วันทั้งวันเธอจะหัวปั่นกับภาระของที่บ้าน เป็นแม่บ้านเข้าครัว ซักผ้า ล้างจาน สารพัด ให้กับแม่ซึ่งไม่ยอมทำงานอะไรกับน้องสาวแสนสวยซึ่งมีอาชีพเป็น Super Model มาถึงบริษัท เจ้านายก็ยกภาระหน้าที่ทั้งหมดให้เธอ วันทั้งวัน เธอจึงไม่เคยมีเวลาดูแลตัวเอง ผมเผ้ารุงรัง หน้ามันเป็นกระทะทอดไข่ ภาระเท่านั้นยังไม่พอ ตั้งแต่วัยเด็กเธอต้องช่วยเพื่อนสนิทของเธอในการดูแลน้องชายวัยแบเบาะชื่อ ว่า ปาร์ค โชซู เรียกได้ว่า โชซู โตมากับ บยองฮี มากกว่าพี่สาวตัวเองเสียอีก และแล้วสวรรค์ก็เห็นในความดีของเธอ วันหนึ่งเจ้าชายรูปงาม ภูมิฐาน ทั้งฐานะและหน้าที่การงานของเขาก็ไม่เป็นรองใคร แบ เฮมยอง หมอเฉพาะทาง Urology อดีตเพลย์บอย อายุ 34 ปี รุ่นน้องของเจ้าของนิตยสารที่ บยองฮี ทำงานอยู่ ครั้งแรกที่ เฮมยอง พบกับ บยองฮี เขาก็ชอบเธอเข้าให้อย่างจัง ยิ่งไปพบเธอบ่อยเข้าก็ยิ่งทำให้เข้ามั่นใจว่าเธอคือคู่ชีวิตที่เขาตามหาอยู่
ปาร์ค โชซู เด็กหนุ่มจากโรงเรียนอาชีวะศึกษา เชียวชาญทางด้านรถยนต์เป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่อู่ซ่อมรถต่างก็แย่งตัวกัน เขาเติบโตมากับพี่สาว แต่พี่สาวเขาก็มักไม่มีเวลาให้เขา เขาจึงอาศัยฝากท้องไว้กับบ้านของเพื่อนสนิทของพี่สาวเขา จากความสนิทชิดเชื้อของเขาและ บยองฮี เปลี่ยนแปลงกลายเป็นความรักของหนุ่มสาวไปตามกาลเวลา โชซู ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้เพราะอายุของเขาทั้งสองห่างกันมากถึง 9 ปี และเขาเองก็เคารพ บยองฮี เหมือนพี่สาวของเขาคนหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจ ออกเดินทางรอบโลก หายหน้าไปจาก บยองฮี ระยะหนึ่ง โดยหวังว่าระหว่างนั้น บยองฮีจะพบกับชายหนุ่มที่ดี และแต่งงานไปก่อนที่เขาจะกลับมา แต่จนแล้วจนรอด บยองฮี ก็ยังไม่ได้กลับแต่งงาน เขาเองก็พยายามที่จะหลบหน้า บยองฮี แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ บยองฮี เมามายไม่ได้สติ เพราะเสียใจว่า ตนเองอาจต้องตัดมดลูกเพราะเนื้องอกในมดลูก เธอเสียใจว่าเธออาจจะไม่สามารถมีลูกได้ เธอจึงดื่ม โซจู เข้าไปหลายขวด ทำให้เมาไม่ได้สติ เดือดร้อนถึง โชซู ที่ต้องไปรับเธอกลับมา แต่แล้วทั้งสองคนก็ไปจบลงที่โรงแรมโดยไม่ได้ตั้งใจ โชซู เองก็ต้องการที่จะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะว่าเขาก็รัก บยองฮี อยู่แล้ว ถึงแม้บยองฮีจะไม่รู้ตัวก็ตามที แต่ บยองฮี กลับปฏิเสธเพราะว่า ความต่างของอายุ และ เธอไม่กล้าที่จะไปบอกใครว่าเธอมีสามีเป็นเด็ก แต่ โชซู ก็ตามตื้อเธอตลอดไม่ห่าง แล้ว บยองฮี ของเราจะค้นใจตัวเองเจอหรือไม่ว่า แท้ที่จริงแล้ว ในใจของเธอนั้นมีใคร ระหว่าง หมอหนุ่มสุด perfect แบ เฮมยอง กับเด็กหนุ่มผู้แสนจะจริงใจกับเธอ ปาร์ก โชซู
เรื่องนี้ไม่ได้ฉายความรักวุ่นๆ ของ บยองฮี เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องวุ่นวายของน้องสาวเธอ Super Model สาวสวย โก จุนฮี อายุ 26 กับ เจ้าของห้องเสื้อ พ่อหม้ายมหาเศรษฐีอายุ 47 อีกคู่ ที่ต้องคอยตามลุ้น รักวุ่นๆ ของพวกเขาด้วยว่าจะลงเอยเช่นไร

ขอบคุณ : http://www.koreaseries.com/whatupfox.html

การเลือกซื้อโสม

โสม เกาหลีจะถูกเก็บเกี่ยวหลังจากการปลูกเป็นเวลา 4-6 ปี
รากโสมที่ขุดได้ใหม่สด จะเรียกว่า "ซูซัม" จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 75% จึงมักจะเน่าเสียได้ง่าย ทำให้ยากในการเก็บรักษาโสมสดให้นานกว่า 1 สัปดาห์ จึงได้เกิดกรรมวิธีในการรักษารากโสมให้แห้งหรือที่เรียกว่า "โสมขาว" "โสมแดง" หรือ ราชาแห่งโสม ได้จากการนำรากโสมที่มีอายุ 6 ปีและต้องมีคุณภาพดี ที่ผ่านการเลือกสรรแล้ว มาผ่านขบวนการอบไอน้ำ และอบแห้งด้วยความพิถีพิถันทำให้ได้โสมที่ยังคงรูปร่างเดิม เพียงแต่สีเท่านั้นที่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และยังสามารถเก็บได้นานกว่า เกรดของโสมมี 3 ชนิด คือ โสมสวรรค์ (Heaven) โสมโลก (Earth) โสมชั้นดี (Good) ขบวนการผลิตโสมแดงนี้ ทำให้เกิด สารจินซีโนซายด์ มากถึง 26 ชนิด ในขณะที่โสมชาวมี 23 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ในขณะที่โสมที่มาจากแหล่งอื่นมีเพียง 8-15 ชนิดเท่านั้น โสมพืชสมุนไพร นี้มีคุณสมบัติพิเศษช่วยให้พลังงานและความมีชีวิตชีวา เหมาะสมสำหรับผู้ที่รู้สึกหมดกำลัง เหนื่อยล้า หรือไม่ตื่นตัว หอบหืด โรคกระเพราะ ความดัน เตรียมรับมือกับสถานะการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดได้เพราะเป็นบ่อเกิดของ โรคหัวใย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม โสมไม่ใช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ให้ผลเฉพาะครั้งที่รับประทานซึ่งทำให้ เหนื่อยล้ามากว่าเดิม หลังจากหมดฤทธิ์ และยังทำให้อย่างรับประทานเครื่องดื่มบำรุงกำลังเพิ่มขึ้น ส่วนโสมแตกต่างออกไป โดยผู้ทานโสมจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใด แต่โสมจะค่อย ๆ เพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ทานอย่างช้า ๆ การบริโภคโสมอย่างสม่ำเสมอจะนำมาซี่งสุขภาพที่แข็งแรง มีพลังงานเพียงพออย่างต่อเนื่องและทำให้กระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่ามีชีวิต ชีวาขึ้น รากของโสมที่นำมาผ่านขั้นตอนกรรมวิธีในการผลิตต่าง ๆ แล้ว จะมีหลายประเภท เช่น ประเภทรากโสม รากโสมผสมน้ำผึ้ง โสมเป็นไซรับ โสมเป็นผง หรือโสมที่บรรจุเป็นแคปซูล

1. รากโสม รากโสมจะเป็นราก ๆ ที่บรรจุใส่กล่องเหล็กมีประมาณ 15 ตัวขึ้นไป นิยมนำมาต้มโดยใส่ประมาณ 1-2 ราก ต่อน้ำ 3 แก้ว แล้วเคียวด้วยไฟอ่อน ประมาณ 2 ชั่วโมง (ไม่ควรต้มในหม้อเหล็ก) ระวังอย่าให้ตัวโสมไหม้ พอโสมอ่อนตัวลง ก็นำมาใช้ประกอบอาหารได้ตามอัธยาศัย

2. รากโสมผสมน้ำผึ้ง รกโสมผสมน้ำผึ้งนี้ จะบรรจุในพลาสติก แล้วนำใส่กล่องเหล็กอีกที วิธีใช้ คือ นำรากน้ำผึ้งมาหั่นบาง ๆ ประมาณ 2 มิลลิเมตร แล้วเคี้ยวทานได้เลย เคี้ยวได้หลายครั้งในแต่ละวัน พยายามเคี้ยวทานอย่างสม่ำเสมอ หรือ อาจจะเอาชิ้นที่หั่นบาง ๆ นั้นมาใส่ในเครื่องดื่มที่ท่านโปรดปรานก็ได้

3. โสมที่เป็นไซรับ หรือคล้ายน้ำผึ้ง อันนี้จะถูกบรรจุใส่ขวดแก้ว แล้วจะนำมาบรรจุใส่กล่องไม้อีกทีหนึ่ง ในหนึ่งกล่องจะประกอบด้วยจำนวน 6 ขวด วิธีใช้ ก็คือ ใช้ช้อนที่บรรจุด้านในตักโสมสกัดด้านในแค่ 1 ช้อน ใส่ลงในน้ำร้อน 1 ถ้วย ผสมน้ำผึ้งบริสุทธิ์ แล้วคนให้เข้ากัน แล้วดื่นทาน ดื่มวันละประมาณ 2-3 ครั้ง

4. โสมผง โสมผงจะมีลักษณะเป็นสีขาว ที่ถูกบรรจุในขวดพลาสติกทึบ แล้วใส่ในกล่องไม้อีกที ใน 1 กล่องจะมี 6 ขวด วิธีใช้ก็คือ ตักโสมผง 1 ช้อนลงในน้ำร้อนแล้วใส่น้ำตาล หรือน้ำผึ้งเพื่อปรับรสชาติให้น่าทาน หรือว่าจะตักโสมผง 1 ช้อนลงในเครื่องดื่มที่ท่านชอบก็ได้ รับประทานวันละ 2-3 ครั้ง สำหรับท่านสุภาพสตรี โสมผงยังสามารถใช้เป็นยาบำรุงผิวพรรณได้ด้วย คำ นำเอาส่วนไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง มาแล้วตักโสมผง1 ช้อน จากนั้นตีเข้าด้วยกัน หั่นแตงกวาออกเป็นชิ้นบาง ๆ นำมาชุบในส่วนผสมให้มาด ๆ แล้ว พอกไว้ที่หน้าประมาณ 15-20 นาที สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะทำให้ผิวพรรณดีขึ้น รักษาสิวฝ้า และโรคผิวหนังบริเวณใบหน้า

5. โสมเม็ด โสมเม็ดนี้จะถูกบรรจุลงในขวด แล้วบรรจุใส่ในกล่องกระดาษแข็งอีกครั้ง ใน 1 กล่อง จะบรรจุประมาณ 100-200 เม็ด โสมเม็ดนี้จะเหมาะสำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก เพราะสามารถนำมาทานได้ทันที รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง


ขอบคุณ : http://www.thaifly.com/TH/guide/korea.php#som

Hangeul (The Korean alphabet)


Hangeul (The Korean alphabet)



Hangeul was invented by King Sejong in 1446 with assistance from some scholars to give the people an alphabet that was easy to read and write. Throughout the world, there are some 3,000 spoken languages but roughly only 100 alphabets. Among these, only Hangeul was systematically invented without influence from any other language. There also haven't been any other books published by its creators to explain the scientific principles employed or the background to communicate information in the exact manner in which they had intended. For this reason alone, linguists from around the world hold Hangeul with very high regard. It also explains why UNESCO included Hangeul on its list of Memory of the World Heritage in October 1997.

The influence of the Korean Wave and the strength of the Korean economy have encouraged a growing number of people overseas to learn about Korean culture and study the Korean language. Many universities around the world have recently opened departments of Korean language. In accordance with such measures, the Korean government has been opening branches of Sejong Academy, a Korean language educational center, around the world, and continues to develop, translate, and distribute manuals on basic Hangeul in various languages designed specifically for local cultures.


As the number of people studying the Korean language continued to grow, it became necessary to introduce an official examination to test Korean language proficiency in order to keep up with rising demand. The Test of Proficiency in Korean (TOPIK) is administered by the Korean Institute of Curriculum and Evaluation. In 2005, the Employment Permit System-Korean Language Test targeted for foreign immigrant workers was introduced.

By : http://english.visitkorea.or.kr/enu/CU/CU_EN_8_1_1.jsp

Han Style

Han Style

In Asia, the 80's were a time for “ Hong Kong noir”, whereas the 90's were more an age of Japanese animation. As we continue into the 2000s, Korean music and dramas continue to hit all the right notes. Interest in Korea, triggered by the success of leading Korean dramas and popular music, has escalated to include a host of other aspects of Korean culture, such as hangeul (Korean alphabet), hansik (Korean food), hanbok (traditional Korean clothing), hanok (traditional Korean houses), hanji (traditional Korean paper), as well as Korean music. In Korea , the aforementioned six cultural symbols are collectively referred to as “Han Style”. Similar in nature to Japan , as represented by the kimono (traditional dress), sushi (rice rolls), and samurai (warriors in Japanese history), the image of Korea is based on its own unique traditions including hanbok, kimchi, hangeul, hanji, hanok, and Korean music.




The Korean Wave that swept its way through Asia with dramas and popular music is now achieving even far greater appeal in the international market. As it continues to evolve it enriches the image of Han Style, representing Korea in a positive light. Korean food has long been highly acclaimed for being extremely healthy. Korean food continues to gain popularity throughout the world for its incredible health benefits. Hanji is a traditional form of paper that can last for over one thousand years and is known for its outstanding quality and elegant designs. The paper is drawing attention not only for record-keeping purposes but also for interior decoration and for the purpose of paper wrapping. Hangeul is a very scientific alphabet and is designated by UNESCO as an important part of the Memory of the World Heritage. As a result of the Korean Wave and Korea 's economic prosperity, desire to learn hangeul and the Korean language is exploding.Hanbok became the focus of attention when Daejanggeum (Jewel in the Palace), a TV drama on royal court cuisine, became popular in Asia . Modifications of the exquisite colors and designs of hanbok are also used as motifs in all Korean-style designs. Many international tourists are showing interest in hanok as they want to experience ondol , the Korean floor heating system very effective in the cold winter. Ondol is an important aspect of Korea 's unique architectural style, and it brought floor heating into vogue globally. Traditional Korean music has many slow-rhythm, sentimental songs that epitomize the sad history of Korea . Such unique Korean sentiments had significant influence on Korean popular music and drama and are an important driver of the Korean Wave.

By: http://english.visitkorea.or.kr/enu/CU/CU_EN_8_1.jsp

Location



Location

The Korean Peninsula is located in North-East Asia. It is bordered by the Amnok River (Yalu River) to the northwest, separating Korea from China, and the Duman River (Tumen River) to the northeast which separates Korea from both China and Russia. The country itself is flanked by the Yellow Sea to its west and the East Sea to the east. There are several notable islands that surround the country including Jeju-do, Ulleung-do and Dok-do (Liancourt Rocks).
The Korean peninsula is roughly 1,030 km (612 miles) long and 175 km (105 miles) wide at its narrowest point. The land area is 99,200 sq km (38,301 square miles), and it has a population of 48.6 million people (2008).
Because of its unique geographical location, Korea is a very viable piece of land and an international hub of Asia.


Geographical Make-up

Mountains cover 70% of Korea's land mass, making it one of the most mountainous regions in the world. The lifting and folding of Korea’s granite and limestone base create a breathtaking landscape of scenic hills and valleys. The mountain range that stretches the length of the east coast falls steeply into the East Sea, while along the southern and western coasts, the mountains descend gradually to the coastal plains that produce the bulk of Korea’s agricultural crops, especially rice.

พูซาน



พูซาน

ข้อมูลทั่วไป
พูซานเป็นเมืองท่าที่สำคัญเมืองหนึ่งของเกาหลีใต้ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มากเป็นอันดับสองของประเทศเกาหลีเลยทีเดียว เมืองพูซานเป็นเมืองที่มีความเจริญไม่แพ้เมืองอื่นๆ ที่นี่เต็มไปด้วยโรงแรมระดับห้าดาวและร้านอาหารที่มีฝีมือในการทำอาหารชั้นยอด ถูกนำมารวบรวมอยู่ที่เมืองพูซาน เมืองพูซานเป็นเมืองที่ติดทะเล มีหาดทรายที่สวยงาม และอุดมสมบูรณืไปด้วยอาหารทะเลมากมาย ใจกลางเมือง พูซานมีอุทยานที่ชื่อว่า “ยงดูซาน” นอกจากนี้ก็ยังมีย่านที่ชื่อว่า “ควางบกดง” และ “นัมโพดง” ซึ่งทั้งสองที่นี้เป็นแหล่งรวมสินค้ามากมายและเป็นศูนย์รวมความบันเทิงของนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาผ่านไปอีกด้วย ซึ่งถ้าใครอยากจะมาเดินหาซื้อของฝากก็สามารถมาเดินช๊อปปิ้งได้ที่นี่เช่นกัน



ที่ตั้ง

จากกรุงโซลถึงเมืองพูซาน หากโดยสารทางเครื่องบินจะใช้เวลาประมาณ 50 นาที หากนั่งรถไฟจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 20 นาที และถ้านั่งรถบัสประจำทาง หรือรถทัวร์ ก็จะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 20 นาที


สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองพูซาน

- หาดแอฮึนแด
- อุทยานแห่งชาติทะเลฮัลยอ
- อุทยานยงดูซาน
- พิพิทธภัณฑ์เมืองพูซาน
- สุสานทหารสหประชาชาติ
- อุทยานคึมกัง
- วัดทงโดซา
- วิหารชุงเรียลซา
- พิพิทธภัณฑ์ศิลปะเมืองพูซาน
- ตลาดปลา ชากัลชิ
- ตลาดกุกเจพูซาน
- ตลาดกวางบองโน


Seoul


Seoul


Seoul is the capital and largest city of South Korea for over 600 years. It is one of the world’s largest cities. Almost half of South Korea's population live near Seoul, and nearly one quarter in Seoul, making it the country's political, cultural, and economic center. As the headquarters for some of the world’s largest corporations, such as Samsung, LG and Hyundai, Seoul has become a major business hub in Asia.


Seoul is a city of infinite discoveries. The ancient capital of an ancient land, Seoul is a city where the traditional and the cutting-edge exist side-by-side in perfect harmony. You can visit royal palace right in the downtown area not far from Seoul high-rise buildings.



It is a lively and dynamic city that never sleeps, and the list of things to do is endless, from sampling the traditional cuisine served in the city’s excellent restaurants to climbing the rock faces that overlook the city. For those who like to shop, you can spend weeks at Seoul’s traditional markets as well as trendy shopping areas and department Stores.



Traveling in Seoul is safe and convenient. Seoul public transports are everywhere. In terms of education, there are a large number of universities in Seoul. Most of the country's most prestigious universities are located in Seoul. Come to Seoul, and learn why so many travelers fall in love with this beautiful city. See you in Seoul!!


By: http://www.korea-ed.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538721672

การศึกษาต่อประเทศเกาหลีใต้




ไปเรียนเกาหลีกันเถอะ
กล่าวได้ว่า มีเพียงไม่กี่ชาติในโลก ที่จะประสบความสำเร็จทางด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ภายในช่วงระยะเวลาอันสั้นได้ดีเท่าประเทศเกาหลีใต้ ปัจจุบัน ประเทศเกาหลีใต้กลายเป็นผู้ผลิตเรือและผู้ส่งออกเหล็กกล้ารายใหญ่ของโลก อีกทั้งมีธุรกิจการผลิตรถยนต์และโทรศัพท์มือถือของตนเองที่กำลังเป็นที่ยอมรับ ดังมีคำกล่าวที่ว่า “Dynamic Korea” หมายถึง การเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องอันนำไปสู่การพัฒนาประเทศเกาหลีใต้นั่นเอง !!


ปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่ส่งผลให้ประเทศเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้ คือ การให้ความสำคัญในการพัฒนา และการให้โอกาสที่ดีทางด้านการศึกษาแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนนับได้ว่าประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งที่มีอัตราการรู้หนังสือของประชากรอยู่ในอันดับสูงที่สุดของโลก ซึ่งนั่นเป็นเพราะชาวเกาหลีใต้เชื่อว่า ประชาชนที่ได้รับการศึกษาที่ดีจะเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในการพัฒนาประเทศ ไม่เพียงเท่านี้ นโยบายการศึกษาของประเทศเกาหลีใต้ยังเปิดกว้าง และให้การต้อนรับชาวต่างชาติ ที่มีความสนใจจะเดินทางมาศึกษาต่อในประเทศของตนอีกด้วย

ด้วยความเจริญของประเทศเกาหลีใต้จนเป็นที่น่าจับตามองนี้ ทำให้ชาวต่างชาติส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้มากขึ้น ประเทศไทยเราเองก็เช่นกัน และสิ่งหนึ่งที่คนไทยให้ความสนใจกันมากก็คือ ภาษาเกาหลีซึ่งถือเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน เห็นได้จากในระยะหลังมานี้มีการเปิดตัวของสถาบัน อบรมภาษาเกาหลีหลายแห่งในประเทศไทย หากแต่การเรียนภาษาให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การได้เรียนรู้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการใช้ภาษานั้นๆ อย่างต่อเนื่อง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเดินทางไปศึกษา ณ ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเรียนรู้ภาษาเกาหลีโดยตรงผ่านเจ้าของภาษานั่นเอง ซึ่งนอกจาก จะทำให้เกิดความชำนาญทางด้านภาษาเกาหลีอย่างถูกต้อง และได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลีผ่านประสบการณ์ตรงแล้ว ยังถือเป็นการเปิดโลกกว้างให้กับตนเอง ทั้งยังได้รู้จักกับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติมากมายอีกด้วย
เสน่ห์ของประเทศเกาหลีใต้

1. ผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์และเทคโนโลยี
เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารและสารสนเทศของชาวเกาหลีนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก เกาหลีใต้ถือเป็นประเทศระดับแนวหน้าในเรื่อง การสร้าง เครื่องจักร, เคมี, การผลิตเรือ, และอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านไอทีและการติดต่อสื่อสารที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนั้น เกาหลีใต้จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว มากกว่า 14.5 ล้านครัวเรือนมีระบบ Hi Speed Internet ในบ้านของตนเอง (ที่มา : กระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศ, สิงหาคม 2007) และชาวเกาหลีใต้เกือบจะทั้งหมดก็ใช้ Internet เกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งในโลก ที่มีอิทธิพลทางด้านการติดต่อสื่อสารและสารสนเทศ จึงอาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จทางด้านเทคโนโลยีของชาวเกาหลีใต้จะแยกตัวเอง ออกไปข้างหน้าในพื้นที่ใหม่ๆซึ่งมีความต้องการทางด้านเทคโนโลยีระดับสูงและความสามารถในการสร้างสรรค์

2. ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตไม่แพง
ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินชีวิตในประเทศเกาหลีใต้นั้น ถือว่าถูกเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศทางตะวันตกที่พูดภาษาอังกฤษ เช่น สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, หรืออังกฤษ นอกจากนี้เกาหลีใต้ยังมีทุนการศึกษาต่างๆ สำหรับนักศึกษาชาวต่างชาติอีกด้วย และด้วยราคาค่าใช้จ่ายที่ถูกนี้ นักศึกษาสามารถเรียนจบได้โดยไม่มีปัญหาทางด้านการเงิน นอกจากนี้ การเรียนในเกาหลีใต้กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่รัฐบาลเกาหลีมีการประกาศแผนการที่จะสนับสนุนนักศึกษาชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ทั้งทุนการศึกษา, ที่พักอาศัย, การทำงานพิเศษ และโอกาสในการประกอบอาชีพการงานเมื่อจบการศึกษาแล้ว

นอกจากนี้ การที่ประเทศเกาหลีใต้อยู่ในโซนเอเชียตะวันออก จึงใกล้ชิดกับประเทศอาเซียนประเทศอื่นๆ ดังนั้น จึงเป็นการสะดวกและเสียค่าใช้จ่ายน้อย สำหรับบุคคลในโซนเอเชียที่ต้องการจะเดินทางเข้ามายังประเทศเกาหลีใต้ โดยเฉพาะนักศึกษาชาวเอเชียนั้นประเทศเกาหลีใต้อาจเป็นตัวเลือกที่ดี ที่จะทำให้พวกเขาได้รู้จักปรับตัวได้ง่ายขึ้น ในเรื่องของวัฒนธรรมและการแสดงออกทางอารมณ์


3. สภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่มีคุณภาพสูง และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดี
เกาหลีใต้มีสถาบันการศึกษาระดับสูง ประมาณ 400 แห่ง สิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นของระดับคุณภาพซึ่งทางสถาบันจะมีจัดไว้ให้นักศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ห้องปฏิบัติการ, หอพักนักศึกษา, และโรงยิม เป็นต้น โดยคำนึงถึงความพึงพอใจและสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ นักศึกษาในคณะส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก ผู้มีประสบการณ์ด้านการวิจัยและมีความเป็นนักวิชาการอย่างเต็มเปี่ยมเนื่องจากพวกเขามีประสบการณ์การศึกษาและวิจัยในประเทศต่างๆ จึงมีความคุ้นเคยกับวิธีการปฏิบัติและขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละประเทศดังนั้นพวกเขาจึงสามารถให้การแนะแนวนักศึกษา และแสดงทัศนะเกี่ยวกับความสำเร็จในอนาคตด้วยมุมมองที่เป็นกลางแก่นักศึกษาได้


4. การให้ความสำคัญทางด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก
การศึกษาถือเป็นจุดสนใจหลักของสังคมชาวเกาหลีใต้ โดยตั้งแต่อดีต ประเทศเกาหลีใต้สร้างเสริมการศึกษาที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อพัฒนาบุคคลให้มีคุณภาพ Mengzi นักปราชญ์ชาวจีนกล่าวไว้ว่า หนึ่งในความสุข 3 อย่างของชีวิต คือ การได้สอนลูกศิษย์ตัวน้อยๆซึ่งเป็นงานที่มีค่าที่สุด และประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง ก็คือประเทศเกาหลีใต้นั่นเองเนื่องจากชาวเกาหลีมีความสนใจและความกระตือรือร้นเรื่องการศึกษาอย่างมากนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จึงมีอัตราการเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์และมีอัตราการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในระดับที่สูง อาจนับได้ว่าเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว การให้ความสำคัญเรื่องการศึกษานี้จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความสำเร็จทางการศึกษาและระดับสติปัญญาของนักเรียนเกาหลี ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก อีกทั้งในสังคมเกาหลี มีแนวโน้มที่จะให้การยอมรับและให้ความใส่ใจต่อนักเรียนหากได้ลองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ แม้เพียงไม่นานก็สามารถรู้สึกได้ถึงบรรยากาศการต้อนรับผู้ที่เดินทางมาเรียน ณ ประเทศแห่งนี้


5. ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเกาหลี
ประเทศเกาหลีใต้ีเป็นประเทศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมมากมาย หนึ่งพันปีแห่งประวัติศาสตร์ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปแบบของวัฒนธรรมที่หลากหลาย จนกลายมาเป็นวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึก กลายเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของคนเกาหลีในยุคปัจจุบันประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ให้อิสระทางความคิด ดังนั้นจึงมีศาสนาต่างๆ จากหลากหลายประเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของชาวเกาหลี ได้แก่ ศาสนาพุทธ คริสต์ และลัทธิคำสอนของขงจื๊อ ศาสนาจึงถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาจิตใจและศักยภาพของชาวเกาหลีให้ก้าวไกลสำหรับการเป็นผู้นำได้ไม่ยาก


6. ศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์
ประเทศเกาหลีใต้อยู่ในแถบเอเชียตะวันออก จุดศูนย์กลางของบริเวณ Pan Pacific เกาหลีใต้จึงกลายเป็นประเทศที่มีความสำคัญ ทางด้านเศรษฐกิจอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งประเทศเกาหลีใต้ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เหมาะสมมากกว่าประเทศจีน, รัสเซีย, ญี่ปุ่น และอเมริกา จึงกลายเป็นจุดสนใจของนานาประเทศ ดังนั้นหากบุคคลได้มีโอกาสไปเรียนที่เกาหลีใต้ ก็เท่ากับว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางความ เคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์โลก อีกทั้งประสบการณ์การศึกษาก็จะการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยพัฒนาความสามารถให้ก้าวหน้ามากขึ้น และในอนาคตเมื่อเดินทางกลับประเทศแล้ว ก็สามารถนำความรู้ไปใช้พัฒนาประเทศของตนได้


7. การต้อนรับด้วยความยินดีของเจ้าบ้าน และสังคมที่มีความปลอดภัย
คนเกาหลีโดยทั่วไปนั้น จะเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีความยินดีที่จะต้อนรับชาวต่างชาติทุกคน นอกจากนี้คนเกาหลีส่วนใหญ่ก็มีความ กระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกับชาวต่างชาติและอยากจะเรียนรู้วัฒนธรรมไปพร้อมกับการฝึกฝนภาษาอังกฤษ ชาวเกาหลีอาจจะรู้สึกเขินอาย เมื่อพบเจอกับชาวต่างชาติเป็นครั้งแรก แต่ว่าในไม่ช้าพวกเขาก็จะแสดงถึงความเป็นตัวตน แสดงออกถึงความใจดีของเขาออกมามากขื้น
ประเทศเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในหลายๆประเทศเล็กๆที่จะทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน แม้ว่าคุณกำลังเดินอยู่บนถนนก็ตาม อัตราเสี่ยงของอาชญากรรมในประเทศเกาหลีใต้นั้นมีน้อยมากจึงทำให้คุณมีความมั่นใจและสามารถใช้ชีวิตที่ประเทศเกาหลีใต้ได้อย่างอุ่นใจ

8. ความงามอย่างเป็นธรรมชาติ
สมัยก่อน ประเทศเกาหลีใต้ถูกเรียกว่า “คึมซูกังซัน ()” ซึ่งมีความหมายว่าประเทศที่ภูเขาและลำธารสวยงามดังภาพี่วาดบน ผ้าไหมโดยแผ่นดินประเทศเกาหลีใต้ทั้ง 3 ด้านล้อมรอบด้วยทะเล สามารถดื่มด่ำกับทัศนียภาพที่สวยงามของผืนแผ่นดินและทะเลได้ในเวลาเดียวกัน เกาหลีใต้มีฤดูกาลที่แตกต่างกัน 4 ฤดู ซึ่งจะทำให้ได้สัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละฤดู อย่างไรก็ตามเกาหลีใต้ไม่ใช่ประเทศใหญ่ ทุกภูมิภาคจึงมีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือมีภูเขา ซึ่งเป็นหินหายากส่วนทางด้าน ตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นบริเวณที่ราบลุ่ม ด้วยอากาศและน้ำที่สะอาด บวกกับความงามอย่างเป็นธรรมชาติของประเทศเกาหลีใต้นี้ จึงทำให้เกาหลีใต้เป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าพึงพอใจสำหรับนักเรียน หรือนักศึกษาชาวต่างชาติ

โดยสรุปแล้ว การศึกษาต่อประเทศเกาหลีใต้ จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการศึกษาต่อในประเทศฝั่งตะวันตก และยังมีโอกาสที่จะได้รับทุนการศึกษามากกว่าด้วย ซึ่งรัฐบาลเกาหลีได้จัดหลักสูตรสำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาชาวต่างชาติ โดยรัฐบาลหวังว่าการสนับสนุนนักศึกษาชาวต่างชาตินี้ จะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างชาติอื่น กับประเทศของตนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นโยบายที่สนับสนุนนักศึกษาชาวต่างชาตินี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการเชื้อเชิญชาวต่างชาติที่มีความสามารถเข้ามาเรียนในประเทศเกาหลีใต้ เท่านั้น แต่ยังเป็นการสนับสนุนวิสัยทัศน์ที่จะเห็นความมั่นคงและความสงบสุขของโลกอีกด้วย

เราจึงอยากเชิญชวนให้คุณมาเรียนที่เกาหลีใต้กัน !!

ขอขอบคุณ ที่มา : http://www.toeastkorea.com/korea_education.php

파전 (พาจอน) : พิซซ่าเกาหลี



파전 (พาจอน) : พิซซ่าเกาหลี
มันคล้ายๆหอยทอดไทยนะ มันจะเป็นเหมือนไข่เจียวทะเล ใส่ต้นหอมหั่นยาว ใส่พริก(ไม่เผ็ด) ลองนึกเนื้อหอย กุ้ง ปลาหมึกแน่นๆ กับไข่เจียวกรอบๆ จิ้มกับแจ่ว อร่อยๆ ดีนะค่ะ

เครื่องปรุง

1. ต้นหอม

2. พริก

3. กุ้ง หอย ปลาหมึก แล้วแต่ชอบ
4. แป้งสาลีผสมน้ำและเกลือด้วยนิดหน่อย




วิธีทำ

1. เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม

2. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันให้ร้อน

3. วางต้นหอมทั้งต้นลงไปต่อกันให้มันเป็นแพ แล้วราดแป้งสาลีผสมน้ำลงไปให้ทั่วต้นหอม

4. จัดกุ้งหอยปลาหมึกลงไปบนต้นหอม

5. วางพริกลงไป ทอดให้ด้านล่างกรอบก่อน

6. พลิกกลับลงไปอีกข้าง

7. รอจนกรอบแล้วเอาขึ้นจากเตา

8. รับประทานได้เลย จะกินกับน้ำจิ้ม




ส่วนผสมของน้ำจิ้ม

1. ซอสปรุงรส 50 มล.

2. น้ำสมสายชู 1 ½ ช้อนโต๊ะ

3. พริกป่น ½ ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ

5. งาคั่ว ½ ช้อนโต๊ะ
6. น้ำมันงา ½ ช้อนโต๊ะ

7. ต้นหอม 1 ½ ช้อนโต๊ะ



วิธีทำน้ำซอส

นำส่วนผสมของน้ำจิ้มทั้งหมดมาผสมรวมกัน พร้อมรับประทานพร้อมกับพาจอนค่ะ



ที่มา : http://koreastory.org

เทรนด์แต่งหน้าสไตล์เกาหลีรับฤดูหนาว


สโมก กี้ อาย เทรนด์ หรือเรียกว่า " เทรนด์ตาแมว " ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศเกาหลีซึ่งการแต่งหน้าแบบนี้จะเน้นการแต่งดวงตาให้มีความเซ็กซี่เหมือนตาแมวนอกจากการแต่งตาแล้วการ แต่งริมฝีปากและการลงเบสจะเน้นสีสันแบบธรรมชาติมากที่สุด ด้วยการเน้นลงพื้นในปริมาณที่น้อยเพื่อเผยผิวใส และใช้คอลซิลเลอร์เพื่อรอยหรือป้องกันขอบตาดำวิธีแต่งแบบเทรนด์ตาแมวนั้น

• ตรงบริเวณดวงตาต้องไม่เน้นการแต่งสโมกกี้ให้ดูหนา
• แต่เน้นการเขียนขอบรอบดวงตาให้ชัดเจนและบางๆ
• โดยใช้เฉดสีเทาที่เปลือกตาทั้งหมด
• จากนั้นใช้สีน้ำเงินหรือม่วงทาทับลงไป
• โดยเน้นจุดไฮไลต์บนเปลือกตาเป็นสีเทาเพื่อเพิ่มจุดเด่น
• และใช้อายแชโดว์สีดำเพื่อทำให้ดวงตาดูโตและโดดเด่น
• หลังจากนั้นให้ปัดมาสคาร่าและติดขนตาปลอมเพื่อเพิ่มความหรูหรา
• ตามด้วยริมฝีปากควรหลีกเลี่ยงลิปสติคที่ให้ประกายมันเงา
• แต่ให้ใช้ลิปสติคที่มีสีคล้ายริมฝีปากเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด


มาดูรายละเอียดกันเลยนะคะ
1. เราต้องล้างหน้าให้เรียบร้อย พร้อมทั้งเช็ดด้วยโทนเนอร์เพื่อทำความสะอาดอย่างล้ำลึก (ถ้าคนแพ้ง่ายและหน้าแห้งเนี่ย เราไม่แนะนำให้ใช้โทนเนอร์เท่าไหร่ เพราะมันจะทำให้หน้าแห้งมากและเป็นขุยง่าย)
2. ทามอยซ์เจอไรเซอร์ ตามแต่สภาพผิวของแต่ละคน ถ้ามีกันแดดด้วยก็จะดีมาก แต้ม 5 จุด ทั่วหน้านะฮะ แล้วเกลี่ยด้วยนิ้วนางหรือนิ้วก้อยเลยก็ได้ (วิธีเกลี่ยนี้ ใช้ได้กับทุกผลิตภัณฑ์)
*3. ลงMake upBase เพื่อปรับสีผิวของหน้าเราให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ถ้าแต่งเล่นๆ หรือคอสเฉยๆก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ make up baseมี 3 สี คือ เหลือง, ม่วงและเขียว สีเขียวเหมาะกับคนที่หน้าหมองคล้ำ เช่น นอนน้อย ตาเป็นแพนด้า หรือคนผิวสีคล้ำ จะทำให้หน้าสว่างขึ้นเพราะมันจะทำการตัดสีกับผิวหน้าสีม่วง เหมาะกับผิวที่เป็นรอยแดงจากสิว จะช่วยกลบสีแดงๆได้สีเหลือง เหมาะกับคนผิวสองสี จะทำให้หน้าสว่างและทำให้รองพื้นที่เราใช้กลมกลืนกับผิวหน้าคนไทยมากขึ้น
4. ลงรองพื้นโลด ทา 5 จุดเช่นเคย ทาให้หมดทั้งหน้านะจ๊ะ ไม่เว้นแม้แต่เปลือกตาและรอบริมฝีปาก บางทีก็ทาบนริมฝีปากไปเลยก็ได้ เพราะถ้าจะเขียนขอบปากใหม่ จะง่ายขึ้นมากๆ แต่ตอนนี้มีการรองพื้นแบบใหม่เค้าเรียกว่าแบบเพชร คือ ทาแค่กรอบหน้าตรงกลาง
5. ตอนทารองพื้นเนี่ย แนะนำให้ทาลิปมันรอที่ปากด้วยนะจ๊ะ ปากจะได้ชุ่มชื่นไม่แห้งแตกเวลาทาลิปจริง
*6. ลงคอนซีลเลอร์ เพื่อปกปิดจุดบกพร่องบนใบหน้า
*7. Hi-light&Shading คอนซีลเลอร์และไฮไลท์จะมีลักษณะคล้ายๆกันส่วน ไฮไลท์เนี่ย จะเอาไว้ทา4จุด คือ บริเวณใต้ตา, สันจมูก(สำหรับคนไม่ค่อยมีดั้ง), ใต้ริมฝีปาก, ร่องแก้มและอาจลงตรงปลายคิ้วด้วยก็ได้ เพื่อทำให้ตาเราโตขึ้นเฉดดิ้งก็จะลง4จุดเช่นกัน เพื่อสร้างเงาให้ใบหน้า คือ ขอบหน้าผาก, ขอบกราม (สำหรับคนหน้าบาน), ปีกจมูก, แนวโหนกแก้ม
8. ลงแป้งฝุ่นทับ หากเอาแป้งอัดแข็งหรือแป้ง2wayมาลง มันจะทำให้ยิ่งหนาเป็นหน้ากากมากขึ้น
9. ส่วนของคิ้วนะคะคิ้วโค้งเหมาะกับบุคลิกของสาวอ่อนหวาน จะแต่งหน้าแนวหวานๆก็ให้เขียนคิ้วโค้ง แต่ถ้าจะออกแนวเก๋ๆหน่อยก็ให้เขียนแบบเฉียบตวัด
10. ลงสีที่เปลือกตาค่ะ ถ้าแต่งแบบคลาสสิค สาวทำงานเนี่ย ควรมีสีอย่างน้อย 2 สีเป็นแนวEarth Toneติดตัวไว้นะคะ (สีเบจ, น้ำตาลอ่อน, น้ำตาลเข้ม) เราจะลงสีอ่อนก่อน แล้วเราจะเอาสีเข้มมาลงที่ขอบเปลือกตาและท้ายตา พยายามแปรงเป็นเบ้าๆเพื่อสร้างขอบให้ตานะคะ

+++ สำหรับน้องจะแต่งแนววัยรุ่น ก็เลือกสีแบบแรงๆ ตัดกันก็ได้ เช่น เขียว-เหลือง, ม่วง-ชมพู, ฟ้า-ชมพู ฯลฯ แต่ให้เพื่อนๆช่วยดูด้วยนะ เด๋วเค้าจะนึกว่าเป็นนกแก้ว อิอิ+++
12. ปัดมาสคาร่า หรือติดขนตาปลอมที่ดูเป็น ธรรมชาติที่สุด ใครที่ขนตายาว ก็ดัดหน่อยแล้วปัดมาสคาร่าก็พอค่ะ จะได้ดูใสๆ
*13. มาที่ปากกันบ้าง หลังจากเราทาลิปมันเพื่อให้ความชุ่มชื่นแล้วตั้งแต่แรกๆ เราก็จะมาลงลิปมันอีกรอบหนึ่งแล้วถ้าอยากจะปกปิดจุดบกพร่องของคนที่ปากใหญ่ หรือปากเล็กไป ก็ให้เขียนขอบปาก เขียนจากตรงกลางปาก
*14. แต่ถ้าไม่อยากให้ดูจริงจังมากไปนัก...ก็ให้ลงสีของลิปเลย จะเอาแบบด้านหรือแบบชุ่มชื้นก็ได้ จริงๆไม่ควรเลือกสีลิปเพียงสีเดียว น่าจะลองซื้อลิปแบบpaletteเอาไว้ผสมสีสวยๆเอาไว้ใช้เองดีกว่านะ
15. ลงลิปกลอส เพิ่มความเนียนใสของวัย
16. ขาดแก้มไปได้ไง สีของบลัชออนในการปัดแก้มจะมีอยู่ 2 โทนใหญ่ๆคือ โทนส้มและชมพูคนหน้าใหญ่ มีโหนกแก้มให้ปัดจากข้างๆ เฉียงลงมาที่แก้ม ไม่ควรปัดมาจนเลยกึ่งกลางของตาดำนะจ๊ะคนหน้าเล็ก ไม่ค่อยมีแก้ม ให้ปัดขนานกับพื้นหรือปัดเป็นครึ่งวงกลมจากแก้มไปที่ข้างๆ มีแบบเฉียง 3 เหลี่ยมด้วยนะคะถ้าคนไหนปัดมากไป...ก็ให้ใช้การแก้ไขโดยเอาแป้งฝุ่นลงทับนะจ๊ะการปัดแก้มแบบครึ่งวงกลม จะเป็นแบบวัยรุ่นค่ะ เวลาปัดก็ให้ยิ้มไปด้วย17.แต่งเสร็จก็เอาแป้งฝุ่นมาตบทับอีกหน่อย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการแต่งหน้าแล้วจ้ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.pompoko.exteen.com
และ http://www.gongzstudio.com/forum/lofiversion/index.php/t15472.html

Arts and Culture


ศิลปะ
ชนชาติเกาหลีได้ถ่ายทอดความเป็นอัจฉริยะทางศิลปะผ่านทางดนตรี นาฎศิลป์ และจิตรกรรม ซึ่งได้มีการพัฒนามาตลอดระยะเวลา 5,000 ปีของประวัติศาสตร์เกาหลี แม้ว่าศิลปะตะวันตกในรูปแบบต่าง ๆ จะแพร่หลายอยู่ในประเทศ แต่ศิลปะเกาหลีอันมีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะในลักษณะดั้งเดิม หรือผสมผสานกับศิลปะร่วมสมัย
ดนตรีประจำชาติ


ชนชาติเกาหลีมีดนตรีที่เรียกว่า คุกอัก มีที่มาคล้ายคลึงกับดนตรีจีนและญี่ปุ่น แต่ถ้าเราสามารถสัมผัสดนตรีชนิดนี้ได้อย่างลึกซึ้ง จะพบว่า ดนตรีเกาหลีมีลักษณะแตกต่างอย่างชัดเจนจากดนตรีชนิดอื่น ๆ ในแถบเอเชียตะวันออก กล่าวคือ ดนตรีเกาหลีประกอบด้วยสามจังหวะในหนึ่งห้อง ในขณะที่ดนตรีจีนและญี่ปุ่นมีสองจังหวะในหนึ่งห้องคุก อัก แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ชองอัก หรือดนตรีในราชสำนัก และมินซกอัน หรือดนตรีพื้นบ้าน ชองอัก ซึ่งเป็นดนตรีชั้นสูง มีท่วงทำนองเชื่องช้า เยือกเย็น และซับซ้อน ส่วนมินซกอัก ได้แก่ ดนตรีของชาวนาชาวไร่ พันซอรี (ดนตรีที่เน้นการแสดงความรู้สึก) และดนตรีพิธีไสยศาสตร์ มีจังหวะที่รวดเร็วและกระฉับกระเฉง

นาฏศิลป์
ศิลปะการร่ายรำแบบเกาหลีแบ่งออกเป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกับดนตรี คือ แบบราชสำนักและแบบพื้นบ้าน ในแบบฉบับของราชสำนักนั้น ท่าทางของการรำจะช้าและสง่างาม ซึ่งสะท้อนปรัชญาของการเดินสายกลางและการระงับอารมณ์ความรู้สึก เป็นอิทธิพลมาจากปรัชญาขงจื้อ ในทางตรงกันข้าม ระบำพื้นบ้านซึ่งสะท้อนชีวิตการทำงานและศาสนาของสามัญชนจะใช้จังหวะและทำนอง ที่สนุกสนาน เป็นลักษณะของการแสดงออกที่เป็นอิสระและมีชีวิตชีวาของคนเกาหลี เช่น ระบำของชาวนาชาวไร่ ระบำหน้ากาก และการร่ายรำทางไสยศาสตร์การได้รู้จักและเห็นคุณค่าของนาฏศิลป์เกาหลีจะช่วยให้นักท่องเที่ยวเข้าใจวัฒนธรรมของคนเกาหลีใต้มากยิ่งขึ้น

จิตรกรรมแบบดั้งเดิมจิตรกรรมแบบเกาหลีแตกต่างจากรูปแบบของตะวันตกอย่างสิ้นเชิงด้วยลักษณะลาย เส้นและการให้สีซึ่งเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวของศิลปะตะวันออก การค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจิตรกรรมโบราณในสุสานหลวงจากยุค สามอาณาจักร (57 ปีก่อนคริสตศักราช –ค.ศ. 668) ช่วยให้เราสามารถเข้าใจวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นต่อ มาในสมัยราชวงศ์โคเรียว (ค.ศ.918-1392) ศาสนาพุทธมีความเจริญรุ่งเรืองถึงจุดสูงสุด มีงานจิตรกรรมแบบพุทธ และศิลปวัตถุอื่น ๆ เกิดขึ้นมากมายในวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่วนในสมัยราชวงศ์โชซอน (ค.ศ.1392-1910) ลัทธิขงจื้อได้กลายเป็นหลักปรัชญาในการบริหารประเทศ บรรดาปัญญาชนในสมัยนั้นจึงผลิตงานศิลปะที่แสดงถึงอิทธิพลของลัทธิขงจื้อและ ศิลปะแบบจีน ในขณะเดียวกัน จิตรกรรมพื้นบ้านซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่สามัญชนกลับไม่ได้รับอิทธิพลจากแนว ความคิดใดความคิดหนึ่ง จึงมีการใช้เทคนิคการเขียนภาพที่เป็นอิสระ แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึก รวมทั้งใช้สีสันสดใส เพื่อสื่อถึงพลัง อารมณ์ และความรื่นเริง สำหรับโรงเรียนสอนด้านจิตรกรรมทั้งของแบบเกาหลีและตะวันตกที่เปิดอยู่ใน เกาหลีปัจจุบันก็มีผลงานบางชิ้นที่ผสมผสานกัน

เครื่องปั้นดินเผาประเทศเกาหลีได้รับเอาศิลปะการทำเครื่องปั้นดินเผามาจากประเทศจีนเมื่อกว่า 1,000 ปีมาแล้ว ศิลปะแขนงนี้ได้เจริญรุ่งเรืองและกลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งซึ่งชาวเกาหลีมี ความภาคภูมิใจเครื่อง ปั้นดินเผาแบบศิลาดลสีเขียวอมฟ้า ที่มีความสวยงามแบบลึกซึ้งจากราชวงศ์โคเรียว (ค.ศ.918-1392) ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกและเป็นที่ต้องการของผู้ที่นิยม วัตถุโบราณ เช่นเดียวกับเครื่องกระเบื้องสีขาวจากราชวงศ์โชซอน (ค.ศ.1392-1910)ศิลปะแขนงนี้ได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อศิลปะญี่ปุ่นใน ยุคสมัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ญี่ปุ่นที่รุกรานประเทศเกาหลีในช่วงปี ทศวรรษ 1950 และทำให้ศิลปะแขนงนี้เจริญรุ่งเรืองในญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้



ขนบธรรมเนียมและประเพณี

การเคารพผู้มีอาวุโสโครงสร้างทางสังคมแบบขงจื้อที่มีมานานยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น ถึงแม้ว่าเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านนี้บ้าง วัยวุฒิและอาวุโสยังมีความหมายมากและผู้เยาว์จะต้องเคารพคำสั่งของผู้อาวุโส โดยปราศจากข้อโต้แย้ง ดังนั้นบ่อยครั้งเราจะถูกถามว่าอายุเท่าใด และถามถึงสถานภาพทางการสมรส (เป็นที่น่าแปลกอยู่ทีเดียวที่ไม่ว่าเราจะอายุมากเพียงใด เราจะไม่ถือเป็นผู้ใหญ่หากเรายังไม่สมรส อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ยึดถือกันในแต่ละครอบครัว) เพื่อจะคะเนถูกถึงความอาวุโสของเราต่อผู้อื่น อย่างไรก็ตามการที่ถูกถามก็มิได้หมายความว่าผู้ถามต้องการล่วงล้ำเข้ามาใน โลกส่วนตัวของเรา แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนั้นหากเราไม่ต้องการ
ชื่อชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีชื่อสกุลจำกัดอยู่ในไม่กี่กลุ่มชื่อ เช่น 21% จะมีชื่อสกุลว่า คิม 14% จะมีชื่อสกุลว่า ยี, ลี หรือ รี 8% มีชื่อสกุลว่า ปาร์ค นอกจากนั้นก็มีชื่อสกุลแตกออกไปอีกเช่น ชอย (หรือ แช) เจิง (หรือ ชุง) จาง (หรือ ชาง) ฮัน , ลิม เป็นต้น ชื่อเต็มของชาวเกาหลีก็จะประกอบด้วย ชื่อสกุล 1 พยางค์และชื่อหน้า 2 พยางค์ ชื่อสกุลจะเขียนก่อน สตรีชาวเกาหลีจะไม่เปลี่ยนชื่อสกุลตามคู่สมรส แต่บุตรและธิดาจะใช้ชื่อสกุลของบิดา


การสมรสชาวเกาหลีถือว่าการสมรสนั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต และการหย่าร้างถือว่าเป็นความตกต่ำเสียชื่อเสียงไม่เพียงแต่สำหรับคู่สมรส เท่านั้น แต่รวมไปถึงครอบครัวเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม อัตราหย่าร้างในปัจจุบันก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นเร็วพอควรการ ประกอบพิธีสมรสในปัจจุบันแตกต่างไปจากในสมัยโบราณ นั่นคือในปัจจุบันนี้พิธีจะเริ่มด้วยแบบทางตะวันตก นั่นคือมีการสวมชุดวิวาห์สีขาวสำหรับเจ้าสาวและทัคซีโดสำหรับเจ้าบ่าว โดยประกอบพิธีในห้องจัดพิธีวิวาห์ หรือในโบสถ์ ต่อมาช่วงบ่ายจะมีพิธีแบบดั้งเดิมในสถานที่ใหม่ด้วยชุดวิวาห์ที่มีสีสันงด งาม




เจเย (พิธีเคารพบูชาบรรพบุรุษ)

ตามหลักความเชื่อดั้งเดิมของเกาหลีนั้น เมื่อบุคคลหนึ่งสิ้นชีวิตลง วิญญาณของเขายังไม่ไปไหน แต่ยังวนเวียนอยู่ใกล้เป็นเวลากว่า 4 ชั่วคนทีเดียว ในช่วงเวลาอันยาวนานนี้ผู้ตายยังถูกถือว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวความ สัมพันธ์อันนี้ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยพิธีเจเย ซึ่งจัดขึ้นในวันพิเศษต่างๆเช่น ซอลัล และชูซก รวมทั้งวันครบรอบวันเสียชีวิตของบรรพบุรุษเหล่านั้น ชาวเกาหลีเชื่อว่าการที่เขามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขนั้นก็ด้วยพรอัน ประเสริฐซึ่งบรรพบุรุษให้ไว้นั่นเอง
ภาษากายเมื่อต้องการกวักมือเรียกผู้อื่นนั้น ควรคว่ำมือลงและกวักนิ้วเรียกโดยใช้นิ้วชิดกัน การกวักมือเรียกโดยหงายฝ่ามือขึ้นนั้นไม่สุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้นิ้วกวักเรียก เพราะถือเป็นกิริยาเรียกสุนัข สำหรับชาวเกาหลี

ฮันบก

ฮันบกเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติเกาหลีมาเป็นเวลาพัน ๆ ปีมาแล้ว ความงามและความอ่อนช้อยของวัฒนธรรมเกาหลีจะถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางภาพถ่าย ของสุภาพสตรีในเครื่องแต่งกายฮันบกนี้ก่อน ที่วัฒนธรรมการแต่งกายแบบตะวันตกจะได้เข้ามาในเกาหลีเมื่อร้อยปีมาแล้วนั้น หญิงชาวเกาหลีจะสวมชุดฮันบกเป็นปกติทุกวัน ส่วนสุภาพบุรุษจะสวมชอโกรี (เสื้อนอกแบบเกาหลี) และพาจิ (กางเกงขายาว) ในขณะที่สุภาพสตรีสวมชอกอรีและชีมา (กระโปรง)
ในปัจจุบันชุดประจำชาติฮันบก จะใช้สวมเฉพาะในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส วันซอลลัล (วันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติ) หรือวันชูซก (วันขอบคุณพระเจ้า)

อนดอลตามประเพณีของเกาหลีนั้นห้องต่าง ๆ จะใช้เพื่อจุดประสงค์หลาย ๆ อย่าง และไม่มีการใช้หรือเรียกห้องตามการใช้งานของมัน เช่น ห้องนอน หรือห้องอาหาร เป็นต้น แต่จะมีการนำโต๊ะและเสื่อเข้าไปไว้ตามห้องต่าง ๆ ตามจุดประสงค์การใช้งาน ประชาชนส่วนใหญ่จะนอนบนเสื่อหนาปูบนพื้น ใต้พื้นห้องจะมีท่อระบายอากาศที่ทำด้วยหินหรือคอนกรีต ในสมัยโบราณลมร้อนจะถูกระบายผ่านช่องเพื่อให้เกิดความร้อน ดินเหนียวและปูนจะถูกนำมาวางบนหิน เพื่อป้องกันผู้อยู่อาศัยมิให้ถูกกระทบด้วยก๊าซพิษ ระบบทำความร้อนใต้พื้นนี้เรียกว่า “อนดอล” ในยุคปัจจุบันใช้ท่อน้ำร้อนให้ไหลผ่านพื้นซีเมนต์ซึ่งคลุมด้วยพรมน้ำมัน




คิมจาง
คิมจางเป็นวิธีการเตรียมผักดองกิมจิในฤดูหนาวของชาวเกาหลีแต่ดั้งเดิม และสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่นมาหลายชั่วคนแล้ว ในเกาหลีนั้นจะมีผักน้อยประเภทมากและก็ปลูกได้ระหว่าง 3-4 เดือนสุดท้ายของปีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคิมจางช่วงต้นฤดูหนาว เพื่อทำอาหารซึ่งกลายมาเป็นอาหารประจำของชาวเกาหลี โต๊ะอาหารในเกาหลีจะขาดกิมจิไม่ได้เลย


การแพทย์แบบตะวันออก
การแพทย์ตะวันออกถือหลักว่าสาเหตุแห่งโรคคือ พละกำลังที่ถดถอยและภูมิต้านทานที่อ่อนลง ไม่ได้เกี่ยวกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโดยเฉพาะ แต่เป็นการเสียสมดุลของพลังแห่งชีวิตในร่างกายโดยรวม ดังนั้นการแพทย์ตะวันออกจึงใช้วิธีรักษาโดยใช้หลักฟื้นฟูระบบภูมิต้านทานและ เสริมสร้างความประสานกลมกลืนของร่างกายโดยรวม มิใช่โดยวิธีกำจัดเชื้อโรควิธีรักษาแบบตะวันออกมีทั้ง การบริโภคยาสมุนไพร การฝังเข็ม การใช้ลูกประคบ และการบำบัดโดย การคว่ำถ้วยสูญญากาศ

ที่มา : http://koreasparkling.exteen.com/arts-and-culture

ประเทศเกาหลี




ภูมิประเทศ
คาบสมุทรเกาหลี ทอดตัวไปทางทิศใต้ทางบด้านตะวันออกของทวีปเอเชีย
มีความยาว 1,020 กิโลเมตร (612 ไมล์) และกว้าง 175 กิโลเมตร (105 ไมล์)
ณ จุดที่แคบที่สุดของคาบสมุทร พื้นที่ 70% ของประเทศเป็นเทือกเขา
จึงจัดเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของแผ่นดินที่เป็นหินแกรนิตและหินปูนทำให้เกิดภูมิประเทศที่สวยงามอย่างมหัศจรรย์
ประกอบด้วยเทือกเขาและหุบเขา เทือกเขา
ตลอดชายฝั่งด้านตะวันออกสูงชันและทอดตัวลงสู่ทะเลตะวันออก
ในขณะที่ชายฝั่งทางด้านใต้ และตะวันตก เทือกเขาค่อย ๆ
ลาดลงต่ำสู่ที่ราบชายฝั่ง
ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลีโดยเฉพาะในด้านการผลิตข้าว
คาบสมุทรเกาหลี ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ที่บริเวณเหนือเส้นขนานที่ 38
คือ ประเทศระบอบประชาธิปไตย สาธารณรัฐเกาหลีอยู่ทางใต้
และประเทศระบอบคอมมิวนิสต์ เกาหลีเหนือ โดยถูกคั่นกลางโดยเขตปลอดทหาร

ภูมิอากาศ
ประเทศเกาหลี มีสภาพอากาศอยู่ในเขตอบอุ่น มีสี่ฤดูที่แตกต่างกันคือ




ฤดูใบไม้ผลิ ปลายเดือนมีนาคม ถึงเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิประมาณ 5 - 15
องศาเซลเซียส เป็นช่วงเวลาที่ต้นไม้ดอกไม้แตกใบงดงาม เหมาะแก่การชมธรรมชาติของเกาหลี

ฤดูร้อน เดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม อุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียล
และอาจมีฝนตกตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ถึงปลายเดือนกรกฎาคม
หากเป็นช่วงที่พืชผลเจริญงอกงามชุ่มฉ่ำ อากาศร้อนที่สุดในเดือนสิงหาคม
ประมาณ 25 องศาเซลเซียล
ฤดูใบไม้ร่วง ปลายเดือนกันยายน ถึงเพฤศจิกายน
เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปี เพราะเย็นสบาย และใบไม้ตามที่ต่าง ๆ
จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงาม อุณหภูมิช่วงต้นฤดูประมาณ 18
องศาเซลเซียล และจะต่ำลงในปลายฤดูประมาณ 5 องศาเซลเซียล




ฤดูหนาว เดือนธันวาคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ อากาศหนาวเหน็บ
มีหิมะสลับกับมีฝนประปราย เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานสำหรับคนรักสกี
อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 5 ถึง - 10 องศาเซลเซียล หรืออาจจะต่ำกว่า



ศาสนา
ประเทศเกาหลีให้ความเคารพต่อเสรีภาพในการนับถือศาสนาโดยมีลัทธิประเภททรงเจ้า บูชาผี
ศาสนาพุทธ และลัทธิขงจื้อ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหลักปรัชญาในการพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมของประเทศก็ว่าได้
นอกจากนี้ยังมีศาสนาย่อย ๆ
ที่เกิดขึ้นใหม่จากการผสมผสานแนวความคิดบางอย่างในศาสนาดั้งเดิม
และยังมีผู้หันไปนับถือศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก
นับตั้งแต่เริ่มเข้ามาเผยแพร่เมื่อปลายศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา



ภาษา
ภาษาเกาหลีจัดอยู่ในกลุ่มยูราล-อัลเตอิค เช่นเดียวกับภาษาฮังกาเรียน
ตุรกี มองโกเลียน และฟินนิช ตัวอักษรของเกาหลีเรียกว่า ฮันกึล
(อักษรเกาหลี) และประกอบด้วยสระ 10 ตัว และพยัญชนะ 14 ตัว
ภาษาพูดได้แปลงมาเป็นภาษาเขียน ในสมัยกษัตริย์เซจง
โดยนักการศึกษากลุ่มหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1443
ผลงานของนักการศึกษากลุ่มนี้ถูกกล่าวขวัญว่าเป็นการสร้างสรรค์ที่อัจฉริยะอย่างแท้จริง


ศิลปะ
ชนชาติ เกาหลี ได้ถ่ายทอดความเป็นอัจฉริยะทางศิลปะผ่านทางดนตรี
นาฎศิลป์ และจิตรกรรม ซึ่งได้มีการพัฒนามาตลอดระยะเวลา 5,000 ปีของ
ประวัติศาสตร์เกาหลี แม้ว่าศิลปะตะวันตกในรูปแบบต่าง ๆ
จะแพร่หลายอยู่ในประเทศ แต่ ศิลปะเกาหลี อันมีเอกลักษณ์
เฉพาะตัวยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะในลักษณะดั้งเดิม
หรือผสมผสานกับศิลปะร่วมสมัย



มารยาทแบบเกาหลี
1. การทักทายและการบอก ขอบคุณ เป็นเรื่องสำคัญมากของคนเกาหลี
คนเกาหลีมักกล่าวคำทักทายและขอบคุณพร้อมก้มหัวคำนับเสมอ
โค้งต่ำระดับไหนนั้นขึ้นอยู่กับความอาวุโสของผู้พูดทั้ง 2 ฝ่าย
2. คนเกาหลี
ไม่นิยมการแสดงออกโดยเปิดเผยและมักจะจำกัดการถูกเนื้อต้องตัวเพียงแค่การจับมือทักทายกันอย่างสุภาพ
อย่างไรก็ตามถ้ารู้จัก คนเกาหลี ดีขึ้นจะเกิดความคุ้นเคยกันเพิ่มขึ้น
ชาวต่างชาติอาจแปลกใจที่เป็นผู้ชายโดยเฉพาะชายหนุ่มเดินตามถนนจับมือโอบไหล่กัน
หรือผู้หญิงเดินจับมือกันการสัมผัสร่างกายเพื่อนสนิทขณะที่คุยกันถือว่ายอมรับกันได้ในประเทศเกาหลี
แต่การแสดงความรักระหว่างเพศในที่สาธารณะ เช่น กอดและจูบถือว่าไม่สมควร
3. สุขาสาธารณะสะอาดมีอยู่ทั่ว ประเทศเกาหลี
และสามารถใช้ห้องสุขาในอาคารสำนักงาน โรงแรม ร้านค้า หรือภัตตาคาร
4. ตามประเพณีดั้งเดิม คนเกาหลี นั่งรับประทาน และนอนบนพื้น ดังนั้น
จึงควรถอดรองเท้าเสมอ ก่อนเข้าบ้านของ คนเกาหลี
เมื่อท่านไปเยี่ยมครอบครัว คนเกาหลี
ที่บ้านท่านควรสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง
เพราะการนั่งเท้าเปล่าต่อหน้าผู้มีอายุสูงกว่าถือว่าไม่สุภาพ
5. คนเกาหลีไ ม่ค่อยนิยม แชร์ค่าอาหารกัน ยกเว้นในกรณีพิเศษ
ท่านควรเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ที่จะเป็นเจ้าภาพหรือไม่ก็เป็นแขก
6. ตามประเพณีการพูดคุยกันระหว่างมื้ออาหารมากเกินไปถือว่าไม่สุภาพ
คนเกาหลี น้อมรับคำชมเกี่ยวกับรสชาติอาหาร และการบริการ
การสั่งน้ำมูกในโต๊ะอาหารถือว่าไม่สุภาพ


ที่มา : http://www.korea-center.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=308252

หมี่เนื้อ (Ommyun)

หมี่เนื้อ (Ommyun)

ส่วนผสม
เส้นโซเมียน (หรือเส้นโซเม็ง) 150 กรัม
น้ำสต๊อกเนื้อ 3 ถ้วย
เนื้อวัวสไลซ์ชิ้นบาง 150 กรัม
พริกจาลาโปโนหรือพริกชี้ฟ้าสีเขียว ผ่าตามยาว 2 เม็ด
หอมใหญ่ผ่าครึ่งหั่นบางตามขวาง 1/2 หัว
ต้นหอมญี่ปุ่นหั่นเฉียงหรือหั่นท่อน 1 ต้น
เห็ดหอมสดตัดโคนแข็งออก บั้งเป็นลาย 4 ดอก
กระเทียบบุบ 4 กลีบ
เกลือสมุทร 1/2 ช้อนชา
ซอสถั่วเหลืองญี่ปุ่น 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ตีพอเข้ากัน 2 ฟอง
พริกไทยป่นสำหรับโรย

ส่วนผสมน้ำสต๊อกเนื้อ
เนื้อวัวส่วนอก 600 กรัม
กระดูกวัว (1.2 กิโลกรัม) 1 ชิ้น
น้ำ 35 ถ้วย
ขิงหั่นท่อนยาวขนาด 2 นิ้ว ทุบพอแตก 1 ชิ้น
พริกไทยดำบุบพอแตก 12 เม็ด
ผงฮอนตาชิ 1 ช้อนชา

วิธีทำน้ำสต๊อกเนื้อ
1. ทำน้ำสต๊อกเนื้อโดยล้างเนื้อวัว ส่วนอกและกระดูกวัวให้สะอาด ใส่ลงในหม้อ เติมน้ำ ใส่ขิง พริกไทยเม็ด ผงฮอนตาชิ ยกขึ้นตั้งบนไฟกลาง ต้มให้เดือด หมั่นช้อนฟองทิ้งจนน้ำซุปใส
2. ลดเป็นไฟกลางค่อนข้างอ่อน เคี่ยวนาน 2 ชั่วโมง กับอีก 45 นาที หรือจนเนื้อวัวสุกนุ่ม (จะเหลือน้ำซุปเคี่ยวประมาณครึ่งหนึ่ง)
3. ตักน้ำสต๊อกเนื้อที่เคี่ยว 3 ถ้วย กรองด้วยผ้าขาวบาง นำน้ำสต๊อกเนื้อและเนื้อวัวส่วนอกไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาจนเย็นจัด ช้อนไขมันที่จับตัวกันเป็นแผ่นในน้ำสต๊อกทิ้ง เตรียมไว้

วิธีทำก๋วยเตี๋ยว
1. ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟกลาง ใส่เส้นหมี่แห้งลงต้ม พอเดือดเติมน้ำอีก 2-3 ครั้ง จับเวลา 2 นาที พอเส้นสุก ตักขึ้นล้างน้ำเย็น พักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
2. ตั้งหม้อน้ำสต๊อกเนื้อบนไฟกลางจนเดือด ใส่เนื้อวัว พริกจาลาเปโนหรือพริกชีวฟ้าสีเขียวผ่าตามยาว หอมใหญ่ ต้นหอมและเห็ดหอม ต้มจนสุก ใส่กระเทียม ปรุงรสด้วยเกลือและซอสถั่วเหลือง ต้มให้เดือดค่อยๆเทไข่ใส่ให้ทั่ว คนเบาๆให้ไข่แยกตัวออกจากกัน พอไข่สุก ปิดไฟ
3. ใส่เส้นหมี่ลวกลงในถ้วย ตักน้ำซุปใส่โรยพริกไทยป่น เสิร์ฟร้อนๆ(สำหรับรับประทาน 4 คน)หมายเหตุ เส้นหมี่ควรเสิร์ฟทันทีหลังจากสะเด็ดน้ำ ระหว่างต้มเส้นบะหมี่อย่าลืมดูหม้อก๋วยเตี๊ยวด้วยนะคะ


ที่มา: http://www.horapa.com/content.php?Category=Korean&No=706%3E%3Cspan%20class=

ไก่ตุ๋นโสมเกาหลี




ไก่ตุ๋นโสมเกาหลี (ซัม-กเย-ทัง 삼계탕)
ชาวเกาหลีมักจะทาน ไก่ตุ๋นโสม เพื่อเป็นการเพิ่มพลัง (คล้ายๆบ้านเราที่จะกินต้มเลือดหมู) ด้วยโสมเกาหลีที่มีสรรพคุณมากมายทำให้เป็นอาหารที่ชาวเกาหลีมักจะทานเมื่อรู้สึกหมดแรง หรือทานเป็นอาหารมื้อปกติก็ได้ ซึ่งรสชาตินั้นก็จะมีความเป็นเอกลักษณ์คือ จืดมาก แต่เขาก็ยังมีเกลือและพริกไทย เพื่อเพิ่มเติมรสชาติให้อร่อยขึ้นอีกด้วย

ส่วนประกอบ(สำหรับ 4 ที่)

1. ไก่ตัวเล็ก 1 ตัว (ตอนนี้ไข้หวัดนกระบาด )
2. โสม 3-4 หัว
3. ลูกเกาลัด 3-4 ลูก
4. พุทรา 6-7 ลูก
5. sweet rice 1/3 ถ้วย
6. กระเทียมปอกเปลือก 8 กลีบ
7. ขิงปอกเปลือก
8. เกลือ
9. พริกไทย
วิธีทำ
1. ล้างไก่ให้สะอาด
2. ล้างข้าว , โสม , เกาลัด และพุทรา
3. ยัดข้าวเข้าไปในตัวไก่
4. ตั้งน้ำ ใส่ไก่ , โสม , เกาลัด , พุทรา , กระเทียม และขิง โดยให้น้ำท่วมตัวไก่ เคี่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
5. ตักไขมันที่ลอยอยู่ข้างบนทิ้งเป็นบางช่วงด้วย6. เสิร์ฟกับเกลือและพริกไทย
Credit : www.koreankitchen.com

ตลาดทงแดมุน 동대문시장






ตลาดทงแดมุน 동대문시장
ที่ตลาดนี้เราสามารถซื้อข้าวของและต่อราคาได้อย่างสนุกสนานทีเดียว
เพราะมีร้านค้ามากมาย
มีห้างขายเสื้อผ้าที่ทันสมัยตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบโบราณ
บางร้านเปิด 24 ชั่วโมง และมีแสงสีและดนตรีตลอดคืน
สินค้าที่มีมากที่สุดในตลาดนี้คือ ผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องหนัง
ชุดสุภาพสตรีและเด็ก เครื่องนอน เครื่องใช้ในบ้าน รองเท้า กระเป๋า
เครื่องประดับ เครื่องสำอางค์ ถุงเท้า ผ้าพันคอ ของที่ระลึก
เครื่องกีฬา และอื่น ๆ อีกมากมาย
ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณประตูเมืองโบราณทิศตะวันออก
เป็นตลาดขายส่งที่ใหญ่มากอีกแห่งหนึ่ง
ท่านจะสามารถหาซื้อสินค้าได้หลากหลายชนิดทั้งในตึกและริมบาทวิถี
ในบรรยากาศการค้า และชีวิตพื้นเมืองของคนเกาหลีอย่างแท้จริง







อินซาดง 인사동

อินซาดง인사동

ตามแนวถนนอินซาดงนั้น มีร้านรวงนับร้อย ๆ ร้าน
ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยภาพวาดด้วยหมึกแบบพื้นเมือง งานประดิษฐ์อักษรต่าง ๆ
เครื่องเรือนแบบโบราณ งานฝีมือ เครื่องเคลือบ
และเครื่องแต่งกายสมัยใหม่
ในทำนองเดียวกันตามตรอกด้านหลังอินซาดง จะเต็มไปด้วยร้านกาแฟ
และร้านอาหารพื้นเมืองมากมาย ทุกวันอาทิตย์นั้น
ถนนอินซาดงจะเป็นถนนคนเดิน โดยปิดไม่ให้รถวิ่งเลย
ตามทางที่เดินไปนั้นยังมีการแสดงรื่นเริงต่าง ๆ
โดยเฉพาะเครื่องดนตรีให้จังหวะ เรียกได้ว่าเป็นถนนแห่งศิลปะ ได้เลยทีเดียว














LOTTE WORLD

LOTTE WORLD
สวนสนุกล็อตเต้เวิลด์ นำท่านสู่ดินแดนแห่งความสนุกหฤหรรษ์และไฮเทคในรูปแบบใหม่ที่สวนสนุกล็อตเต้เวิลดิ์ สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี สนุกสนานกับเครื่องเล่นหลากชนิดทั้งในร่มและกลางแจ้ง ไม่ว่าการผจญภัยกับโลกของซินเบต หอคอย โรงหนังสามมิติ ไวกิ้ง รถรางไฟฟ้า ชมความงามของสวนสนุกทั้งภายในและนอกอาคาร เกมส์การละเล่นต่าง ๆ ขบวนพาเหรด โชว์ต่าง ๆ ตลอดจนร้านขายอาหาร ร้านขายของที่ระลึกเฉพาะของสวนสนุกล็อตเต้เวิลด์


Copyright 2009 The Korea ... K o r e a n :)). All rights reserved.
Free WPThemes presented by Leather luggage, Las Vegas Travel coded by EZwpthemes.
Bloggerized by Miss Dothy